บทที่ 1 ความปลอดภัยและทักษะในปฎิบัติการเคมี

1.1 ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี
   1.1.1 ประเภทของสารเคมี 
สารเคมีแต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกันจึงมีฉลากข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอันตรายของสารเพื่อความปลอดภัยต่อ การนำไปใช้ การกำจัด และการจัดเก็บ โดยฉลากควรมีข้อมูลดังนี้
  1. ชื่อผลิตภัณฑ์
  2. รูปสัญลักษณ์
  3. คำเตือน 
  4. ข้อมูลของบริษัทผู้ผลิตสารเคมี


ตัววอย่างฉลากสารเคมี
สัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายมีหลายระบบ มี 2 ระบบที่มีการใช้กันอย่างเเพร่หลาย คือ
  • GHS (Globally Harmonised System for Classification and labeling of Chemicals) เป็นระบบที่ใช้สากล เป็นระบบการจัดกลุ่มสารเคมี การติดฉลาก และการแสดงรายละเอียดบนเอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Safety Data Sheet : SDS) เพื่อให้แต่ละประเทศสามารถสื่อสารและเข้าใจข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอันตรายที่เกิดจากสารเคมีในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะช่วยลดความซ้ำซ้อนและค่าใช้จ่ายในการทดสอบและประเมินสารเคมี ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นว่าการใช้สารเคมีแต่ละประเภทจะถูกต้องตามวัตถุประสงค์ โดยไม่เกิดผลเสียหรืออันตรายต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด

ตัวอย่างสัญลักษณ์ในระบบ GHS2
  • NFPA (National Fire Protection Association Hazard Identification System) เป็นระบบที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา เพื่อป้องกันและเตือนถึงวัสดุอันตรายต่างๆ เครื่องหมายนี้เรียกง่ายๆ ว่า "เพชรไฟ" (fire diamond) เป็นการเตือนภัยส่วนบุคคลเพื่อให้ง่ายและรวดเร็วที่จะได้ทราบ ว่าเป็นวัสดุอันตรายชนิดใด มีวิธีการปฏิบัติหรือต้องการเครื่องมือเฉพาะอย่างไรบ้าง



 ตัวอย่างสัญลักษณ์ในระบบ NFPA





   1.1.2.ข้อควรปฏิบัติในการทำปฏิบัติการเคมี
  • ก่อนทำปฏิบัติการ
  1. ศึกษาขั้นหรือวิธีการทำปฏิบัติการให้เข้าใจ หากมีข้อสงสัยต้องสอบถามครูผู้สอนก่อนที่จะทำการทดลอง
  2. ศึกษาข้อมูลของสารเคมีที่ใช้ในการทดลอง
  3. แต่งกายให้เหมาะสม
  • ขณะทำปฏิบัติการ
     1.ข้อปฏิบัติโดยทั่วไป
          1.1 สวมแว่นตานิรภัยสวมเสื้อคลุม สวมถุงมือหากใช้สารเคมีกัดกร่อนหรือสารอันตราย  สวมผ้าปิดปากหากใช้สารเคมีที่มีไอระเหย
          1.2 ห้ามรับประทานอาหารเเละเครื่องดื่ม หรือทำกิจกรรมอื่นๆ
          1.3 ไม่ทำการทดลองในห้องปฏิบัติการเพียงคนเดียว
          1.4 ไม่เล่นและไม่รบกวนผู้อื่น
          1.5 ปฏิบัติการขั้นตอนอย่างเคร่งครัด
          1.6 ไม่ปล่อยอุปกรณ์ให้ความร้อน เช่น ตะเกียง ทำงานโดยไม่มีคนดูแล
     2.ข้อปฏิบัติในการใช้สารเคมี
          2.1 อ่านชื่อสารเคมีบนฉลากก่อนนำไปใช้
          2.2 การเคลื่อนย้าย แบ่ง และเทสารต้องทำด้วยความระมัดระวัง
          2.3 การทำการทดลองในหลอกทดลองต้องหันออกจากตัวเองและผู้อื่นเสมอ
          2.4 ห้ามชิมหรือสูดดมสารเคมีโดยตรง
          2.5 การเจือจางกรดห้ามเทน้ำลงกรดแต่ให้เทกรดลงน้ำ
          2.6 ไม่เทสารเคมีที่เหลือกลับเข้าขวดอย่างเด็ดขวด
          2.7 ถ้าทำสารเคมีหกในปรอมาณเล็กน้อยให้กวาดหรือเช็ด
    3.หลังทำปฏิบัติการ
          3.1.ทำความสะอาดอุปกรณ์
          3.2.ก่อนออกจากห้องให้ถอดชุดปฏิบัติการ

   1.1.3.การกำจัดสารเคมี
  1. สารเคมีที่เป็นของเหลวไม่อันตรายละลายนํ้าได้มี่ค่าpHเป็นกลางสามารถเทลงอ่างและเปิดนํ้าตามได้
  2. สารละลายเข้มข้นบางชนืด ไม่ควรลงอ่างน้ำหรือท่อน้ำทันที ควรเจือจางหรือทำให้เป็นกลางก่อนเท
  3. สารเคมีที่เป็นของแข็งไม่อันตราย สามารถใส่ภาชนะที่ปิดมิดชิดติดฉลากแล้วทิ้งในที่ทิ้งสารได้
  4. สารไวไฟ ตัวทำละลายที่ละลายน้ำ หรือสารที่ทำปฏิกิริยากับน้ำ ห้ามทิ้งลงอ่างน้ำ
1.2 อุบัติเหตุจากสารเคมี
 การปฐมพยบาลเมื่อร่างการสัมผัสสารเคมี
  1.  ถอดเสื้อผ้าบริเวณที่เปื้อนออกและซับสารเคมีออกจากร่างกายให้มากที่สุด
  2. กรณีที่เป็นสารเคมีละลายนํ้าได้ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยการเปิดนํ้าไหลผ่าน
  3. กรณีที่สารเคมีไม่ละลายนํ้า ให้ล้างด้วยนํ้าสบู่
  4. หากทราบว่าสารเคมีคือสารใด ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในเอกสารควมปลอดภัยของสารเคมี
 การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา
ตะแคงศีรษธให้ตาด้านที่สัมผัสสารเคมีอยู่ด้านล่างแล้วเปิดนํ้าเบาๆให้ไหลผ่านข้างที่โดนสารเคมีประมาณ10นาที ระวังไม่ให้เข้าตาอีกข้างแล้วรีบนำส่งแพทย์ทันที
การปฐมพยาบาลเมื่อสูดดมแก๊สพิษ
  1. เมื่อมีแก๊สพิษเกิดขึ้นต้องรีบออกจารบริเวณนั้น
  2. หากมีผู้หมดสติ ต้องรีบเคลื่อนย้ายออกจากบริเวณนั้นทันที
  3. ปลดเสื้อผ้าให้ผู้หมดสติหายใจได้สะดวก
  4. สังเกตกาเต้นของหัวใจและการหายใจหากหยุดเต้นให้นวดและผายปอดแต่ไม่ควรใช้วิธีเป่าปาก
การปฐมพยาบาลเมื่อโดนความร้อน
แช่นํ้าเย็นหรือปิดแผลจนหายปวดแสบปวดร้อนแล้วทาด้วยยาขี้ผึ้ง หากเกิดบาดแผลใหย่ให้นำส่งแพทย์
*กรณีที่สารเคมีเข้าปากให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในเอกสารแล้วรีบนำส่งแพทย์ทันที
1.3 การวัดปริมาณสาร
ความน่าเชื่อถือของข้อมูลพิจารณาได้จาก ความเที่ยงและความแม่นของข้อมูล
  1.3.1.อุปกรณ์วัดปริมาตร
  • บีกเกอร์ มีลักษณะเป็นทรงกระบอกปากกว้าง มีขีดบอกปริมาตร หน่วยเป็น มิลลิลิตร มีหลายขนาด
  • ขวดรูปกรวย มีลักษณะคล้ายผลชมพู่  มีขีดบอกปริมาตร หน่วยเป็น มิลลิลิตร มีหลายขนาด
  • กระบอกตวง มีลักษณะเป็นทรงกระบอก   มีขีดบอกปริมาตร หน่วยเป็น มิลลิลิตร มีหลายขนาด
  • ปิเปตต์ เป็นอุปกรณืที่มีความแม่นสูง ใช้สำหรับถ่ายเทของเหลว มี 2 แบบ 
  1. แบบปริมาตรมีกระเปาะตรงกลาง มีขีดบอกปริมาตรเพียงค่าเดียว 
  2. แบบใช้ตวงมรขีดบอกปริมาตรหลายค่า

  • บิวเรตต์ เป็นอุปกรณ์สำหรับถ่ายเทของเหลวในปริมาตรต่างๆ ตามต้องการ มีลักษณะเป็นทรงการะบอกที่มีขีดบอกปริมาตร และมีอุปกรณ์ควบคุมการไหลของของเหลวที่เรียกว่า "ก๊อกปิดเปิด"
  • ขวดกำหนดปริมาตร เป็นอุปกรณ์สำหรับวัดปริมาตรของของเหลวที่บรรจุภายใน ใช้สำหรับเตรียมสารละลายที่ต้องการความเข้มข้นแน่นอน มีขีดบอกปริมาตรเพียงขีดเดียว มีจุกปิดสนิท มีหลายขนาด


   1.3.2.อุปกรณ์วัดมวล
เครื่องชั่งเป็นอุปกรณ์สำหรับวัดมวลของสารทั้งที่เป็นของแข็งและของเหลว ความน่าเชื่อถือของค่ามวลที่วัดได้ขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่องชั่งและวิธีการใช้เครื่องชั่ง เครื่อชั่งที่ใช้ในห้องปฎบัติการเคมีโดยทั่วไปมี 2 แบบ
  • เครื่องชั่งแบบสามคาน


                                                
  • เครื่องชั่งไฟฟ้า
   1.3.3.เลขนัยสำคัญ
ค่าที่ได้จากการวัดด้วยอุปกรณ์การวัดต่างๆ ประกอบด้วยตัวเลขและหน่วย จำนวนหลักของตัวเลขที่แสดงความเที่ยงตรงของปริมาณที่วัดหรือคำนวณได้ ดังนั้นตัวเลขนัยสำคัญจึงประกอบด้วยตัวเลขทุกตัวที่แสดงความแน่นอน (certainty) รวมกับตัวเลขอีกตัวหนึ่งที่แสดงความไม่แน่นอน (uncertainty) ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่เราเลือกใช้ด้วย

การนับเลขนัยสำคัญ
  1. ตัวเลขที่ไม่มี 0 ทั้งหมดนับเป็นเลขนัยสำคัญ
  2. เลข 0 อยู่ระหว่างตัวเลขอื่นๆ นับเป็นเลขนัยสำคัญ
  3. เลข 0 อยู่หน้าตัวเลขอื่นๆไม่นับเป็นเลขนัยสำคัญ
  4. เลข 0 อยู่หลังตัวเลขอื่นๆ และมีจุดทศนิยมนับเป็นเลขนัยสำคัญ
  5. เลข 0 ที่อยู่หลังตัวเลขอื่นที่ไม่มีทศนิยม อาจนับหรือไม่นับเป็นเลขนัยสำคัญก้ได้ เนื่องจากเลขศูนย์ในบางกรณีอาจมีค่าเป็นศูนย์จริงๆจากการวัด
  6. เขียนในรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ โดยตัวเลขสัมประสิทธิ์ทุกตัวเป็นเลขนัยสำคัญ
 การปัดตัวเลข
  1. ตัวเลขถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่าน้อยกว่า 5 ให้ตัดตัวเลขที่อยู่ถัดไปทั้งหมด
  2. ตัวเลขถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่ามากกว่า 5 ให้เพิ่มค่าของตัวเลขตำแหน่งสุดท้ายอีก 1
  3. ตัวเลขถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่าเท่ากับ 5 และมีตัวเลขอื่นที่ไม่ใช่ 0 ต่อจาก 5 ให้เพิ่มค่าของตัวเลขตำแหน่งสุดท้ายอีก 1
  4. ตัวเลขถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่าเท่ากับ 5 และไม่มีเลขอื่นต่อจากเลข 5 เลย ให้พิจารณาดังนี้
  1. หากเลขที่อยู่หน้า 5 เป็นคี่ ให้บวกค่าเพิ่มอีก 1 และตัดเลขตั้งแต่ 5 ไปทั้งหมด
  2. หากเลขที่อยู่หน้า 5 เป็นคู่ ให้ตัวเลขเท่าเดิม แล้วตัดเลขตั้งแต่ 5 ไปทั้งหมด
 การบวกและการลบ
   ผลลัพธ์ที่ได้จะมีจำนวนตัวเลขที่อยู่หลังจุดทศนิยมเท่ากับข้อมูลที่มีจำนวนตัวเลขที่อยู่หลังสุดทศนิยมน้อยที่สุด

การคูณและการหาร
   ผลลัพธ์ที่ได้จะมีจำนวนเลขนัยสำคัญเท่ากับข้อมูลที่มีเลขนัยสำคัญน้อยที่สุด

การคำนวณที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขที่แม่นตรง
   การคำนวณไม่ต้องพิจารณาเลขนับสำคัญของตัวเลขที่แม่นตรง
1.4.หน่วยวัด
   1.4.1.หน่วยในระบบไอเอส

ในปี พ.ศ. 2503  ได้มีการประชุมร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ จากหลาย ๆ ประเทศเพื่อตกลงให้มีระบบการวัดปริมาณต่าง ๆ เป็นระบบมาตรฐาน ที่เรียกว่า หน่วยระหว่างชาติ (International System of Unit หรือ System - International d' Unit) และกำหนดให้ใช้อักษรย่อแทนชื่อระบบนี้ว่า "SI" หรือ หน่วย เอสไอ (SI Unit)  เพื่อใช้ในการวัดทางวิทยาศาสตร์

หน่วยระบบ SI ประกอบด้วย    1.หน่วยฐาน (Base units)      2  หน่วยอนุพัทธ์ (Derived units)   
  1. หน่วยฐาน (Base Units)

    เป็นหน่วยวัดที่หน่วยวัดอื่นๆ ทั้งหมดสามารถสอบกลับมาได้  มีอยู่ทั้งสิ้น 7 หน่วย ดังนี้
    1) ความยาว (Length)
    หน่วยวัดความยาวในระบบหน่วยเอสไอ คือ เมตร (Metre : m)
    2) มวล (Mass)
    หน่วยวัดมวลในระบบหน่วยเอสไอ คือ กิโลกรัม (Kilogram : kg)
    3) เวลา (Time)
    หน่วยวัดเวลาในระบบหน่วยเอสไอ คือ วินาที (Second : s) (Ground State)
    4) กระแสไฟฟ้า (Electric Current)
    หน่วยวัดกระแสไฟฟ้าในระบบหน่วยเอสไอ คือ แอมแปร์ (Ampère : A)
    5) อุณหภูมิ (Thermodynamic Temperature)
    หน่วยวัดอุณหภูมิในระบบหน่วยเอสไอ คือ เคลวิน (Kelvin : K)
    6) ความเข้มของการส่องสว่าง (Luminous Intensity)
    หน่วยวัดความเข้มของการส่องสว่างในระบบหน่วยวัดเอสไอ คือ แคนเดลา (Candela : cd)
    7) ปริมาณของสาร (Amount of Substance)
    หน่วยวัดปริมาณสารในระบบหน่วยวัด เอสไอ คือ โมล (Mole : mol) 
  2. หน่วยอนุพัทธ์ (Derived units)
คือหน่วยที่เกิดจากการรวมกันของหน่วยฐานเอสโดยการคูณหรือหาร เพื่อใช้ในเรื่องการวัดและการแสดงปริมาณต่างๆ ซึ่งหน่วยอนุพัทธ์สามารถมีได้มากมายไม่จำกัด เนื่องการปริมาณต่างๆในโลกนี้ที่คนเราอยากรู้ก็ไม่สามารถจำกัดได้ เพียงแต่เลือกหน่วยพื้นฐานมาประกอบเข้าด้วยกันให้ถูกต้อง
   1.4.2.หน่วยนอกระบบไอเอส
ถึงแม้ว่าหน่วยเอสไอจะได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างกว้างขวาง แต่ยังมีหน่วย อีกหลายหน่วยที่ใช้กันแพร่หลาย ให้ใช้ต่อไปได้หรือให้ปรับเปลี่ยนบางส่วน เช่น ปริมาตร หน่วยเอสไอใช้ลูกบาศก์เมตร (m3 ) แต่ที่นิยมใช้คือ ลิตร (L) ซึ่งเมื่อเทียบกับหน่วยเอสไอจะเท่ากับ ลูกบาศก์เดซิเมตร (dm3 ) ในปัจจุบันอนุโลมให้ใช้หน่วยลิตรในกรณีบอกความเข้มข้นเป็นโมลต่อลิตร (mol/L) ส่วนการบอกปริมาตรให้ใช้หน่วยลูกบาศก์เดซิเมตร (dm3 ) และลูกบาศก์เซนติเมตร (cm3 )
1.4.2 แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย 
เป็นอัตราส่วนระหว่างหน่วยที่แตกต่างกัน2หน่วยที่มีปริมาณเท่ากัน
เช่น  1 L = 1000 ml      (1 L / 1000 ml)  =1  เป็นแฟคเตอร์ที่จะเปลี่ยน ml  ให้เป็น L


สารละลายกลูโคส 9 % โดยมวล/ปริมาตร =  สารละลายกลูโคส  (9  g /สารละลาย 100 ml )
                                                    = (10 g)(1 mol/180 g)/(100ml)(1 L/1000 ml)
                                                    = 0.5 mol/L
วิธีเทียบหน่วย ทำได้โดยการคูณปริมาณในหน่วยเริ่มต้นด้วยแฟกเตอร์ที่มีหน่วยที่ต้องการอยู่ด้านบนตามสมการ
ปริมาณและหน่วยที่ต้องการ=ปริมาณและหน่วยเริ่มต้น x หน่วยที่ต้องการ/หน่วยเริ่มต้น
1.5วิธีการทางวิทยาศาสตร์ 
เป็นกระบวนการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีแบบแผนขั้นตอน 
  1.การสังเกต
  2.การตั้งสมมติฐาน
  3.การตรวจสอบสมมติฐาน
  4.การรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผล
  5.การสรุปผล
ทั้งนี้ในการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสร์นั้นไม่มีรูปแบบตายตัว โดยอาจจะมีรายละเอียดแตกต่างขึ้นอยู่กับคำถาม บริบท และวิธีการใช้ในการสำรวจตรวจสอบ




การใช้สารเคมีอันตราย


ความปลอดภัยการใช้สารเคมีห้องปฏิบัติการ


ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี 1


ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี 2



กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5 ขั้นตอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อินโดฯ โหด! เตรียมจับนักโทษละเมิดทางเพศเด็ก ทำหมันด้วยสารเคมี

อินโดฯ โหด! เตรียมจับนักโทษละเมิดทางเพศเด็ก ทำหมันด้วยสารเคมี สำนัก ข่าว อัลจาซีรา รายงานว่า  นายมูฮัมหมัด ปราเซตโย  อัยการสูงสุดของอินโ...